***************
1. ระบบสาธารณสุขหมายถึงอะไร
ตอบ ระบบสาธารณสุขหรือปัจจุบันเรียกว่าระบบสุขภาพ หมายถึงกิจกรรมทางสาธารณสุขต่างๆที่ทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น+ กิจกรรมทางสังคมที่มุ่งเพื่อสุขภาพ เช่น การควบคุมการบริโภคยาสูบ
2. จงอธิบายความสำคัญของระบบสาธารณสุข
ตอบ ความสำคัญของระบบสาธารณสุข คือ ระบบสาธารณสุขก่อให้เกิดความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บและแนวทางการรักษาโรค ช่วยให้มนุษย์ปรับปรุงการดำเนินชีวิต+ ทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
3. องค์ประกอบของระบบสาธารณสุข มีอะไรบ้าง
ตอบ องค์ประกอบของระบบสาธารณสุข ได้แก่
1.ทรัพยากร (คน เงิน สถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ องค์ความรู้ )
2.โครงสร้างองค์กร (ใช้ระบบภาครัฐเป็นหลัก +เอกชน)
3.การเงินการคลัง (มาจากงบประมาณแผ่นดิน,NGO,อปท )
4.การบริหารจัดการองค์กร (มีนโยบายวางแผน ควบคุม กำกับ)
5.การให้บริการ
-การสาธารณสุขมูลฐาน
-ระดับบุคคล
-ระดับชุมชน
-พิเศษเฉพาะกลุ่ม
4. ทรัพยากรด้านสาธารณสุข ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ ทรัพยากรด้านสาธารณสุข ได้แก่
1. บุคลากรด้านสาธารณสุข ต้องพิจารณาเรื่องการวางแผนการผลิตและจัดหาบุคลากรให้เพียงพอและพิจารณากระจายอัตรากำลังให้เหมาะสม และพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการให้เหมาะสม เช่น กำหนดค่าตอบแทนให้แพทย์เพื่อดึงดูดใจให้ทำงาน
2. แหล่งเงินในระบบสาธารณสุข มาจากภาษี ประกันสังคม ประกันสุขภาพเอชน NGO
3. สถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ด้านสาธารณสุข สถานที่หมายถึงสถานที่ประกอบกิจกรรมทางสาธารณสุขได้แก่ สอ รพ คลินิก ร้านขายยา วัสดุครุภัณฑ์ เช่น น้ำยา เครื่องวัดความดัน
4. องค์ความรู้ด้านสาธารณสุข จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร
5. การจัดสรรทรัพยากรภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร รัฐบาลต้องมีลักเกณฑ์ในการจัดสรรอย่างไร
ตอบ รัฐบาลต้องมีลักเกณฑ์ในการจัดสรร คือ
- ความเป็นธรรมในสังคม มุ่งเน้นลดช่องว่างด้านสุขภาพของประชาชนที่เช่นผู้ด้อยโอกาสในสังคมทีมีจำนวนน้อย รัฐให้การดูแลมากกว่ากลุ่มอื่น
- การประเมินทางเศรษฐศาสตร์ ได้แก่
1) Cost Effectiveness Analysis เป็นการเปรียบเทียบจำนวนต้นทุนต่อผลลัพธ์ เช่น จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหาย
2) Cost Utility Analysis ผลลัพธ์คืออรรถประโยชน์ เช่นคะแนนคุณภาพชีวิต QALY คะแนนภาวะโรคปรับตามความพิการ DALY ตัวชี้วัดเป็นราคาต่อหน่วย
3) Cost Benefit Analysis ผลลัพธ์คือ อัตราของเงินระหว่างกำไร : ต้นทุน ถ้า > 1= คุ้มค่า
6. การจัดบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ การจัดบริการด้านสาธารณสุข แบ่งเป็น
1) การสาธารณสุขมูลฐาน คือ กิจกรรมสธ.ที่จำเป็น+ เหมาะสม+ เป็นไปได้ +ทั่วถึงและครอบคลุมการบริการอย่าน้อย 8 อย่าง เช่น สุขศึกษา โภชนาการ อนามัยแม่และเด็ก การจัดหาน้ำ สุขาภิบาลพื้นฐาน การป้องกันควบคุมโรค การวางแผนครอบครัว การรักษาพยาบาลเบื้องต้น การจัดหายาที่จำเป็น
2) การบริการสุขภาพส่วนบุคคล ได้แก่การบริการระดับปฐมภูมิ(สอ) ทุติยภูมิ(รพ) EMS
3) การบริการสธ.ชุมชน มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยในชุมชน เช่นการจัดหาน้ำดื่มสะอาด การควบคุมการระบาดของโรค
4) การบริการ สธ.พิเศษอื่นๆ เช่นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชนด้อยโอกาส
7. จงอธิบายผลลัพธ์ของระบบสาธารณสุข
ตอบ ผลลัพธ์ของระบบสาธารณสุข ได้แก่
1. ด้านประสิทธิผล เป็นความสามารถในการเปลี่ยนแปลงปัจจัยนำเข้าเป็นผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าไว้(การดำเนินการใดๆที่ทำให้สุขภาพประชาชนดีขึ้น) เช่น การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การวางแผนครอบครัว
2 ด้านประสิทธิภาพ เป็นการเปรียบเทียบคุณค่าของผลผลิต ต่อ ต้นทุนปัจจัยนำเข้าว่าคุ้มค่าแค่ไหน(ใช้ทรัพยากรจำกัดได้ประโยชน์สูงสุด) มี 2 เภท คือ
1) Technical efficiency ประสิทธิภาพทางเทคนิค คือวิธีการผลิตที่ใช้ต้นทุนต่ำได้ผลดี หรือผลผลิตดีจากปัจจัยที่เท่ากัน วิธีวัดได้แก่ Cost Effectiveness Analysis , Cost Utility Analysis, Cost Benefit Analysis
2) Allocative efficiency ประสิทธิภาพการจัดสรร คือการกระจายทรัพยากรเพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด
3. ด้านความเป็นธรรมในสังคม ได้แก่การสร้างหลักประกันสุขภาพแกประชาชน จัดสรรงประมาณอย่างเป็นธรรม เข้าถึงระบบบริการสุขภาพโดยไม่มีปัจจัยเรื่องเงินมาเป็นอุปสรรค มีการจัดบริการสธ.พื้นฐานครอบคลุมประชาชน มีเครือข่ายการดูแลและระบบส่งต่อ
4. ด้านความพึงพอใจของประชาชน นอกจากประชาชนจะได้รับการบริการ สธ.ตามความต้องการแล้ว ยังต้องการได้รับการเคารพในศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับ การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนและมีอำนาจการตัดสินในว่าจะรับบริการหรือไม่ด้วย เป็นต้น
8. การจัดบริการสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง
ตอบ การจัดบริการสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ ดังนี้
1. เพื่อให้มีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายจิตใจ และมีความสุขในชีวิต
2. เพื่อให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
3. เพื่อให้มีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี
4. เพื่ออารักขาสวัสดิภาพจากอันตรายต่างๆ
9. องค์ประกอบในการบริการสุขภาพ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ องค์ประกอบในการบริการสุขภาพ ได้แก่
1. การส่งเสริมสุขภาพ ( Promotion )
1.1 การวางแผนครอบครัว
1.2 การอนามัยแม่และเด็ก
1.3 โครงการโภชนาการ
1.4 การอนามัยโรงเรียน
1.5 การทันตสาธารณสุข
1.6 การสุขศึกษา
1.7 การส่งเสริมสุขภาพจิต
2.การป้องกันและควบคุมโรค ( Prevention )
10. การบริหารจัดการ หมายถึงอะไร
ตอบ หมายถึง กระบวนการร่วมกันระหว่างผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานในอันที่จะทำให้งานสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และเป็นหน้าที่ของผู้บริหารในอันจะกระทำการใด ๆ ให้มีการร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มใจ และเต็มความสามารถ โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยผ่านการวางแผนงาน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การนำการปฏิบัติงาน (Leading) และการควบคุมงาน (Controlling)
11. โดยทั่วไปผู้บริหารมีหน้าที่หลักกี่ประการ อะไรบ้าง
ตอบ มีหน้าที่หลัก 4 ประการ คือ การวางแผนงาน การจัดองค์กร การนำการปฏิบัติงาน และการควบคุมงาน
1. การวางแผนงาน
การวางแผนงานเกี่ยวกับการเลือกและกำหนดวัตถุประสงค์ รวมถึงการคิดค้นเพื่อให้ได้มาซึ่งกลยุทธ์ นโยบาย โครงการ และวิธีดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว การวางแผนงานจึงต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ เพราะมีทางเลือกที่อาจเป็นไปได้มากมาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การวางแผนงานเป็นการกำหนดทิศทางของหน่วยงานในอนาคต และกลยุทธ์ที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
2. การจัดองค์กร
การจัดองค์กรเกี่ยวข้องกับการกำหนดบทบาทและงานของแต่ละบุคคลในหน่วยงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน รวมทั้งการรวมงานหรือกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันเข้าด้วยกันเป็นฝ่ายหรือแผนก การมอบหมายอำนาจหน้าที่ การกระจายอำนาจ และการประสานงานกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ของหน่วยงาน ก่อให้เกิดโครงสร้างขององค์กร
3. การนำการปฏิบัติงาน
การนำการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการใช้ภาวะผู้นำในการชี้แนะ จูงใจและกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานให้สำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างค่านิยมร่วม บรรยากาศองค์กรและการสื่อสาร เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบถึงระเบียบ วัตถุประสงค์ นโยบาย โครงสร้างขององค์กร ความสัมพันธ์ของฝ่ายต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่าย และแต่ละบุคคลในองค์กรอย่างกระจ่าง เพื่อความมั่นใจในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
4. การควบคุมงาน
การควบคุมงาน คือ การตรวจสอบ การประเมินผล และการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตรงกับแผนงาน และวัตถุประสงค์ในกรณีที่มีข้อผิดพลาด หรือข้อเบี่ยงเบนไม่เป็นไปตามแผนงานหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมงานมีหลายอย่าง เช่น การงบประมาณ เป็นการวางแผนและควบคุมทางการเงิน หรือการทำรายงาน เป็นการประเมินผลและควบคุมการปฏิบัติงาน หรือตารางเวลา เป็นการวางแผนและควบคุมเวลา หรือการนิเทศงาน เป็นต้น ฉะนั้น วิธีการหนึ่งที่ใช้ในการควบคุมให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ คือ การกำหนดผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากแผนงาน และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเหตุการณ์นั้น ๆ
12. องค์ประกอบหลักของการบริหารภาครัฐแนวใหม่ มีอะไรบ้าง
ตอบ องค์ประกอบหลักของการบริหารภาครัฐแนวใหม่ มีดังนี้ คือ
1. รัฐพึงทำเฉพาะบทบาทที่ตนทำได้ดีเท่านั้น
2. ต้องคำนึงถึงความต้องการของประชาชนเป็นหลัก และให้บริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน
3. ต้องเพิ่มความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ โดยลดการควบคุมจากส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
4. นำระบบบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Performances Based Management : PBM หรือ Results Based Management : RBM) มาใช้ โดยการกำหนดให้มีการวัดผลตั้งแต่ระดับองค์กรจนถึงระดับบุคคล
5. การเน้นแนวคิดเรื่องการแข่งขันทั้งระหว่างภาครัฐด้วยกันและระหว่างภาครัฐกับเอกชน
6. สร้างระบบสนับสนุนทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยี
13. เป้าหมายที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดของการบริหารจัดการภาครัฐเสียใหม่ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1. ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจต้องมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นการกิจแรกต้องสนอง “ประชาชน” มิใช่สนอง “นาย” แบบยุคเก่า
2. ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจต้องบริหารมุ่งประสิทธิภาพ เร่งขจัดความล่าช้า (Red tape) ให้หมดสิ้นไป ซึ่งความล่าช้าเกิดจากโครงสร้างองค์กรที่สูงและระบบรวมศูนย์อำนาจ (Centralization of Authority) จึงต้องมีการกระจายอำนาจ (Decentralization of Authority)
3. ต้องมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการบริหาร (Administrative culture) ที่ยึดกฎระเบียบเป็นสรณะ (Rule and Requlation Management Culture) เป็นการยึดเป้าหมายาการให้บริการประชาชนหรือยึดผลสัมฤทธิ์ (Result –oriented) เป็นหลัก
4. เลิกค่านิยมเจ้าขุนมูลนาย ระบบราชการอยู่ได้เพราะประชาชน หากประชาชนไม่ศรัทธาระบบราชการก็อยู่ไม่ได้
14. ประเด็นสำคัญของการปรับปรุงการบริหารคืออะไร
ตอบ 1. มุ่งเน้นที่การวางแผนให้มากขึ้น (More Planning) โดยการวางแผนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปคือ แผนกลยุทธ์
2. ต้องลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานลง (Less Complexity)
3. มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจมากขึ้น (More Decentralization)
4. สร้างความศรัทธาเชื่อถือให้เกิดขึ้นในประชาชน (More Trust)
15. ระบบบริการสาธารณสุขที่พึงประสงค์ในอนาคต ควรมีลักษณะเด่นสำคัญอะไรบ้าง
ตอบ ระบบบริการสาธารณสุขที่พึงประสงค์ในอนาคต ควรมีลักษณะเด่นสำคัญรวม 3 ประการ ดังนี้
1. ใช้ความจำเป็นของผู้รับบริการ หรือผู้ป่วยเป็นหลักในการจัดระบบ และองค์กรการบริการสาธารณสุข โดยให้ความสำคัญเน้นหนัก ที่สุขภาพอนามัยของประชากรทั้งหมด ความจำเป็นด้านบริการสุขภาพของประชากรเหล่านั้น รวมทั้งข้อพิจารณาที่ได้จากข้อมูล เฉพาะตัวของผู้ป่วย ซึ่งจัดเก็บให้สามารถลำดับภาพการเปลี่ยนแปลง สืบเนื่องระยะยาว (patient level longitudinal information) ลักษณะเด่นข้อนี้คือ Population and Patient-Centred Care ซึ่งแตกต่างจากระบบบริการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อันมีลักษณะสืบทอดแบบแผนการจัดบริการ ตามที่ได้เคยมีการกำหนดให้เป็นงาน ที่มีลพดับความสำคัญขององค์กรต่างๆ ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นไว้แล้ว (Traditional organizational view dominated by structural and assigned programme-budget priorities)
2. ใช้หลักการบูรณาการในการดำเนินงาน ให้บริการแก่ประชาชน หรือผู้ป่วย โดยคำนึงถึงบูรณาการ ในแนวราบ และแนวตั้ง เพื่อให้ผู้จัดบริการสามารถสร้างความสัมพันธ์ กับผู้บริการคร่อมหน่วยบริการได้ ไม่ว่าบริการนั้น จะเป็นบริการขั้นพื้นฐาน หรือบริการฉุกเฉิน ทั้งนี้โดยมุ่งหวังที่จะทำให้บริการจากแหล่งต่างๆ สนองความจำเป็นของประชาชน หรือผู้ป่วยได้ดีที่สุด (ensuring the best match between care settings and patient needs) นอกจากนั้น ยังเน้นการบูรณาการ หน้าที่บางประเภท เช่น พยาธิวิทยาคลินิก การตรวจและรักษาด้วยเครื่องมือ หรือเทคนิคเฉพาะ ให้คร่อมหน่วยงานบริการได้เช่นกัน ลักษณะเด่นข้อนี้ คือ Integration of Care Delivery ซึ่งแตกต่างจากระบบบริการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อันมีลักษณะแบ่งแยกตามภารกิจหน้าที่ ของกระทรวง / กรม หน่วยบริการชนิดต่างๆ ในภาครัฐ และเอกชน (Government ministerial or departmental coundaries, different types of care settings anf the private sector)
3. ใช้หลักจัดการด้านการเงิน ให้เกิดการร่วมรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่าย ต่อสุขภาพ โดยรวมของประชากร มากกว่าที่จะจัดไป เพื่อดำเนินงานให้บริการเป็นรายชนิด (Finance on a regional basis accountable for the health of the community, not just the provision of health services) จัดให้มีการแบ่งแยก ระหว่างกลุ่มผู้ซื้อบริการ (Purchasers) กับกลุ่มผู้ให้บริการ (Providers) เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลง (contract) ระหว่างกัน บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประชาชน หรือผู้ป่วย อันจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้จ่าย การปรับปรุงคุณภาพ และการเข้าถึงบริการของประชาชน ตลอดจนการเพิ่มจุดเน้น ไปที่การส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย ลักษณะเด่นข้อนี้ คือ Funding shifts to Care Management Models ซึ่งแตกต่างจากระบบบริการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อันมีลักษณะเบี่ยงเบนของเงินทุน ไปเพื่อการใช้จ่ายด้านบริการรักษาพยาบาล ระดับสูง (Secondary and Tertiary care) มากกว่าระดับต้น (Primary care) และเน้นไปที่การจ่ายเพื่อจัดบริการ (provision of services) มากกว่าการจ่าย เพื่อดูแลระวังรักษา และพัฒนาสุขภาพอนามัยของประชาชน ในชุมชนโดยรวม
16. หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ มีลักษณะเป็นอย่างไร
ตอบ หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ (Edgar L Morphet ) มีลักษณะดังนี้ คือ
1. การบริหารที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียวในองค์การ (Division Of Labor)
2. มีการกำหนดมาตรฐานทำงานที่ชัดเจน (Srandardization)
3. มีเอกภภาพในการบังคับบัญชา (Untity of command)
4. มีการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงาน (Delegation of Authority and Responsibility)
5. มีการแบ่งฝ่ายงานและบุคลากรผู้รับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงานให้เฉพาะเจาะจงขึ้น (Division of Labor)
6. มีการกำหนดมาตรฐานการทำงาน ที่ชัดเจน (Span of control)
7. มีการมอบหมายการควบคุมดูแลที่เหมาะสม (Stability)
8. เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์การได้ (Flexibility)
9. สามารถทำให้คนในองค์การเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย (Security)
10. มีการยอมรับนโยบายส่วนบุคคลที่มีความสามารถ (Personnel Policy)
11. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งส่วนบุคคลและองค์การ (Evaluation)
17. บทบาทและสมรรถภาพของผู้บริหาร มีลักษณะเป็นอย่างไร
ตอบ บทบาทและสมรรถภาพของผู้บริหาร มีลักษณะดังนี้ คือ
1. เป็นผู้กำหนดทิศทางการบริหาร (Direction Setter ) เช่น รู้เทคนิคต่าง ๆ ของการบริหาร PPBS .MBO QCC เป็นต้น
2. มีความสามารถกระตุ้นคน (Leader Catalyst)
3. ต้องเป็นนักวางแผน (Planner)
4. ต้องเป็นผู้มีความสามารถในการตัดสินใจ (Decision Maker)
5. ต้องมีความสามารถในการจัดองค์การ (Oraganizer)
6. ต้องเป็นผู้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (Change Manager)
7. ต้องเป็นผู้ให้ความร่วมมือ (Coordinator)
8. ต้องเป็นผู้ติดต่อสื่อสารที่ดี(Communicatior)
9. ต้องเป็นผู้แก้ปัญหาขัดแย้งในองค์การได้ (Conflict Manager)
10. ต้องสามารถบริหารปัญหาต่าง ๆ ได้(Preblem Manager)
11. ต้องรู้จักวิเคราะห์และจัดระบบงาน (System Manager)
12. ต้องมีความสามารถในด้านวิชาการทั้งการเรียนและการสอน (Instructional Manager)
13. ต้องมีความสามรถในการบริหารบุคคล (Personnel Managr)
14. ต้องมีความสามารถในการบริหารทรัพยากร (Resource Manager)
15. ต้องมีความสามารถในการประเมินผลงาน (Appraiser)
16. ต้องมีความสามารถในการประชาสัมพันธ์ (Public Relator)
17. ต้องสามารถเป็นผู้นำในสังคมได้ (Ceremonial Head)